Sunday, October 17, 2010

พลังกรรมสะสมข้ามภพข้ามชาติ....

พลังกรรมสะสมข้ามภพข้ามชาติ
โดยธูปพลังจิตจักรวาล
อาจารย์ อันติกา   อริยชวัล
       
วันนี้อาจารย์ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งมีความรู้และประโยชน์อย่างมากค่ะ ในเรื่องกรรมทำให้ได้คิดว่าชีวิตมนุษย์ทำให้อย่างไรไม่ให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นอีก เหมือนเปลี่ยนบุคคล เปลี่ยนสถานที่ แต่เรื่องเดิมๆก็ยังฝังติดแน่นอยู่ในจิตใจเสียอย่างนั้น !! ทำให้คิดถึงว่า พระพุทธองค์ท่านตรัสได้อย่างถูกต้องว่า เมื่อผัสสะ คือ รูป รส กลิ่น       เสียง สัมผัส   เข้ามากระทบผ่านทวาร        ทั้งหก  คือ  ตา หู  จมูก ลิ้น  กาย   ใจ
ทำให้เกิดเวทนา ตัณหา และมักจะขึ้นตามองค์ประกอบวิบากเก่ากรรมของจิตของแต่ละคน ความต่างของผัสสะของบุคคลต่างกัน จึงทำให้การคิด ตัดสินใจทางเลือก หรือการดำเนินชีวิตต่างกัน ตามกรรมที่สั่งสมมา   ซึ่งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือ ธรรมมารมณ์นั้นมันมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่ใช่บวก ไม่ใช่ลบ เป็นเช่นนั้นเอง

ทุกคนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน แต่เมื่อเกิดผัสสะ ขึ้นอยู่กับว่าสังขารจะสร้างวิญญาณตัวใดเข้าไปรับรู้ กระบวนการรับรู้เกิดขึ้นเป็นผลผลักดันจากพลังกรรมใจจิตนั้นเอง การคิดบวกคิดลบ จึงไม่ใช่เรื่องของสิ่งเร้าภายนอก แต่มันเป็นเรื่องภายในใจของเราเอง

ดังนั้น สำหรับใครที่รู้ว่าตัวเราเองเป็นคนคิดลบ โกรธง่าย อารมณ์วู่วาม ขี้อิจฉาริษยา ฯลฯ   ควรระลึกอยู่เสมอว่า ตัวเองเป็นคนมีกรรมหนักมากมายแฝงอยู่ในภวังคจิต และต้องพยายามฝึกสติมากกว่าคนปกติทั่วไปเป็นสองเท่า พลังแห่งกรรมจะส่งผลให้เจตสิกมารวมกลุ่มกันเป็นดวงจิตขึ้นรับอารมณ์ และกลุ่มของดวงจิตหลายๆดวงก็จะทำให้เกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมา เมื่อเกิดความรู้สึก ก็จะสร้างกรอบของความคิดให้เป็นไปตามลักษณะของความรู้สึกนั้น
      
 ดังนั้นความคิดลบและอารมณ์ต่างๆ เช่น กลัว เกลียด อิจฉาริษยา รัก   โลภ   โกรธ หลง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีเหตุและปัจจัยมาจากพลังกรรมที่สะสมอยู่ในภวังคจิตทับซ้อนกันมานับร้อยนับพันชาติภพนั่นเอง
       
อารมณ์เป็นผลของความรู้สึก การรู้จักฝึกสติตามหลักวิปัสสนากรรมฐานคุมความรู้สึก อารมณ์ก็จะไม่เกิด เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม ตัดกรรมเสียแต่ต้นใจ ดีกว่าปล่อยให้ไฟแห่งอารมณ์โหมกระพือแล้วค่อยมาดับ อาจจะสายเกินไป เพราะถ้าปล่อยให้ถึงขึ้นความรู้สึกก่อตัวเป็นอารมณ์ สติสัมปชัญญะจะอ่อนแรงลงไป ถึงตอนนั้น อารมณ์จะมีอิทธิพลเหนือสติ พลังแห่งกรรมจะมีพลังเหนือเรา ทำให้เราติดพูดหรือทำสิ่งที่ไม่ดีเป็นลบ อันเป็นเหตุของการสร้างอกุศลกรรมใหม่  
        ความคิดที่เกิดขึ้นในแต่ละคนจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขาจะคิดเช่นนั้น และกรรมเก่าก็จะลิขิตชีวิตของพวกเขาให้เป็นไปตามวิธีคิดนั่นเอง ลองสังเกตจากชีวิตของเพื่อนสนิท หรือญาติพี่น้องของเราดู จะพบว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ วิธีคิดก็คือนิสัยอย่างหนึ่ง คนเรามักติดกับนิสัยส่วนลึกที่ไม่ยอมเปลี่ยน จนกว่าจะหมดกรรมหรือไม่ก็เกิดปัญญาระดับสูงพอที่จะดึงตัวออกมาจากนิสัยที่ไม่ดีได้
        ในแต่ละคนมีความอยากในสิ่งต่างๆที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางจิตที่สะสมมานานหลายภพหลายชาติ แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ทุกคนมีกรรมเก่าฝังอยู่ในจิตและกรรมเก่าตัวนี้ทำหน้าที่ราวกับมันมีชีวิตจิตใจ จ้องจะเอาคืนอยู่ตลอดเวลา จนบางคนเรียกว่า “เจ้ากรรมนายเวร”
        เจ้ากรรมนายเวรไม่ได้มีความหมายเพียงผู้ผูกเวรที่ตามมาเอาคืน แต่ความจริงแล้วเราเองก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองด้วย การให้ผลของกรรมมีทั้งผู้ผูกเวรที่ตามมาอาฆาตเอาคืนและแบบตัวกรรมที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากจิตของเราเอง  
        ความรู้สึกต่างๆจากร้อยหลายพันภพชาติที่ประทับใจจิตมากมาย รวมไปถึงความรู้สึกชอบ รู้สึกอยาก (ตัณหา) ต่างๆถ้าความอยากมีกำลังมาก กรรมก็จะสนองไปตามความอยากนั้นๆ ดังนั้นการเอาชนะเจ้ากรรมนายเวรนั้นได้ต้องเอาชนะความรู้สึกให้ได้ เพราะความรู้สึกลบทั้งหลายผุดขึ้นมาก็เพราะมีกรรมเก่าทางลบที่เคยทำไว้ฝังอยู่ใจจิต ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม มโนกรรม หรือวจีกรรมก็ตาม
        ผู้ผูกเวร อาจเพียงเหนี่ยวนำให้เกิดสิ่งเร้า เพื่อกระตุ้นให้ความรู้สึกที่ฝังอยู่ในจิต เมื่อใดที่สามารถกำหนดสติ รู้เท่าทันความคิด ความรู้สึก ตัดเวทนา ตัณหาจากสิ่งเร้าที่ผ่านเข้าทางทวารหกได้ เมื่อนั้นกรรมเก่าก็หมดสิ้นลง พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “กรรมเก่า ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ”
      ความรู้สึก คือ จุดมุ่งหมายของเจ้ากรรมนายเวร เมื่อใดที่สามารถกระตุ้นความรู้สึกให้เป็นไปตามต้องการได้ การให้ผลของกรรมก็จะประสบผลสำเร็จ   และความรู้สึกที่ว่าก็วนเวียนอยู่กับรัก โลภ โกรธ เกลียด กลัว อิจฉาริษยา ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าความรู้สึกเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดการคิดลบตามมา
        กรรมเก่าใช้ความรู้สึกเป็นเครื่องมือสำคัญในการเอาคืน ถ้าเราควบคุมความรู้สึกได้เมื่อไร โอกาสในการเอาชนะเจ้ากรรมนายเวรอยู่แค่เอื้อม และเครื่องมือที่ใช้ในการคุมความรู้สึกก็คือ ความคิดกับสติสัมปชัญญะ
        วิธีที่จะหยุดกรรมเหล่านี้ไม่ให้ดำเนินต่อไปได้   หรือดำเนินไปในทิศทางบวกก็คือ ต้องฝึกให้มีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันความคิดและความรู้สึก
        เมื่อมีความคิดใดเกิดขึ้น สติจะช่วยให้รู้ทันและเปลี่ยน
ความคิดนั้นให้เป็นบวกได้ทันท่วงที แทนที่จะปล่อยให้ไหลไปสู่ตัณหา อันจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการกระทำกรรมต่อไป   ดังนั้นเคล็ดลับก็คือ หยุดความคิด หยุดความรู้สึกด้วยการมีสติ แม้ว่ากระบวนการดังที่กล่างมานี้เกิดขึ้นเร็วมาก แต่ถ้าฝึกกำหนดสติบ่อยๆ ก็จะทำให้ตามทันกระแสของความคิด ความรู้สึก และสามารถบันดาลให้เป็นไปในทิศทางที่เราประสงค์ได้
        การฝึกให้รู้เท่าทันความคิด รู้สึก และอารมณ์ของตนเอง เป็นการใช้หลักตามกายา เวทนา จิตตา และธรรมานุปัสสนากรรมฐาน ก็คือ การฝึกใช้สติมาตัดกรรมนั่นเอง!!
ด้วยควรรัก  ปราถนาดีจริงใจ
ธูปพลังรัก จิตจักรวาล


Copyright article from www.promdeva.com.

No comments:

Post a Comment