Sunday, November 14, 2010

ทำไม !!!เราจึงต้องสร้างพลังแสงกายทิพย์...

ทำไม !!!เราจึงต้องสร้างพลังแสงกายทิพย์...
โดย พลังแสงกายทิพย์
by  Antiga   Ariyachawul
อาจารย์อันติกา อริยชวัล
สวัสดีค่ะ...ท่านผู้ชมทางเวป..วันนี้อาจารย์ตั้งใจนำเสนอบทความเรื่องพลังจิต ที่เกี่ยวข้องกับพลังกายทิพย์ หลายๆท่านสงสัยกันว่าพลังกายทิพย์คืออะไร...หมายถึงอะไร...โดยเฉพาะท่านที่ต้องการดึงดูดความรัก...คนรักที่เราปราถนาถึง หรือคุณสมบัติคู่รักที่เหมาะสมกับตัวเรา โดยที่ไม่ต้องอาศัยดวงชะตาว่ามีชะตาชีวิตรักของเรานั้นมีคู่แท้หรือไม่...แต่วิธีการสร้างกายทิพย์คือการพึ่งตัวเอง เพราะเป็นพลังมีมาตั้งแต่กำเนิด พลังกายทิพย์สามารถนำไปแก้ไขเคราะห์กรรม หรือวิบากกรรม โซ่กรรมในอดีต อย่างเช่น กรณีของการสร้างกายทิพย์ของแม่สู่ลูกในกรณีที่มีการทำแท้ง พลังกายทิพย์ก็สามารถช่วยเหลือได้ ทำให้วิญญาณของเด็กที่เราได้ฆ่าเขากลับให้มีพลังกายทิพย์ที่สมบูรณ์พร้อมที่จะไปเกิด....       

แต่อาศัยที่ว่า คุณเข้าใจและสามารถที่จะสร้างให้กายทิพย์มีแรงสั่นสะเทือนกว้างขึ้นหรือไม่...และมีรัศมีกายที่สวยงาม ใครเห็นแล้วอดที่อยากเข้ามาใกล้ชิด....
วิธีการสร้างกายทิพย์นี้ไม่ใช่วิธี มนต์มายา หรือมนต์ไสยศาสตร์ใดๆทั้งสิ้นค่ะและไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างที่คิด... แต่เป็นพลังที่อยู่ในตัวเราล้วนๆเลยค่ะ...
ตัวของเราประกอบไปด้วย กายและจิต ซึ่งก็คือรูปและนาม
เมื่อกายที่แข็งแรงกินอาหารให้ถูกต้องและเหมาะสม และมีการเคลื่อนไหวออกกำลังกาย จิต ก็ต้องฝึกให้แข็งแรงไปด้วย แต่ปัจจุบันนี้ กายของเราได้รับผลกระทบจาก สภาวะเศรษฐกิจ สภาวะด้านสังคม ความเป็นอยู่ทั้งหลายที่มีแต่ความกดดันอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้จิตของเราอ่อนแอไปด้วยเพราะความตึงเครียด ความกลัว ความกังวล ความโมโห ความโกรธ ความน้อยใจ ความอาฆาต ความพยาบาท ความโลภ ความหลงผิด  ฯลฯ เป็นต้น....ที่เกิดขึ้นกับตัวของเราและจิตใจของเราไม่มากก็น้อย กระทบกันอย่างมาก   ร่างกายที่ทรุดโทรมและเหนื่อยอ่อน...หากได้รับการสร้างพลังกายทิพย์....ความทรุดโทรมหรือความเหนื่อยล้าเหล่านั้นก็จะหายไป...เหลือไว้แต่ร่างกายที่สดชื่น กระปรี้กระเปร่า แข็งแรงดีกว่าเดิม แต่กับจิตใจที่อ่อนแอ เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับร่างกายแม้ว่าจะเป็นความทุกข์แสนสาหัส สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้เป็นเจ้าของร่างกายอย่างมาก แต่นั่นเป็นความทุกข์เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น...เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ความทุกข์ทรมานดังกล่าวก็จะลดน้อยลงจะกระทั่งหายไปในที่สุด เหมือนกับนิ้วมือที่ถูกเข็มทิ่มแทง อาจจะมีเลือดสดไหลออกมามากมายในตอนแรก และสร้างความเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ แต่หากบาดแผลดังกล่าวได้รับการเยียวยาที่ดี ไม่ช้ามักก็จะหายดี....
ไม่เหลือหยดเลือดให้เห็นแม้แต่น้อย...ซึ่งตรงกันข้ามกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตใจ...ซึ่งเมื่อได้เกิดขึ้นแล้ว หากไม่ได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม ความทุกข์ในใจดังกล่าว...จะสะสมพอกพูนขึ้นและตกตะกอนฝังรากลึกอยู่ในจิตใจจนยากที่จะชะล้างหรือเยียวยาให้หายดีได้... เมื่อเวลาผ่านไปความทุกข์ทรมานที่สั่งสมอยู่ภายในจิตใจเบื้องลึกจะสำแดงฤทธิ์ของมันออกมา ก่อให้เกิดผลกระทบไม่เพียงแต่สภาพจิตใจเท่านั้น...แต่ยังส่งผลร้ายต่อร่างกายและบุคคลิกภาพได้เช่นกัน.. ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้า ความเคียดแค้น ความวิตกกังวล ความโกรธเคือง หรือความผิดหวัง... ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดวิบากกรรมขึ้นในพลังแสงล้อมรอบร่างกายทั้งสิ้น (ชั้นวิบากกรรมในแสงกายทิพย์อยู่ชั้นที่3 ก็จะแคบลงเพราะแสงพลังกายทิพย์ในตัวได้หมดไปเรื่อยๆ จนทำให้วิบากกรรมตามทันจนถึงกายเนื้อได้ง่าย) แม้ว่าความรู้สึกในด้านลบเหล่านี้บางครั้งจะเลือนหายไปบ้าง...แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าจะหายไปอย่างสิ้นเชิง ในทางตรงกันข้ามมันกลับฝังรากลึกลงไปในจิตใจเบื้องลึกจนยากที่จะลืมเลือนได้...เปรียบได้กับบาดแผลที่ดูภายนอกแห้งสนิท แต่ภายในกลับมีแต่หนองเน่าเฟะน่าสะอิดสะเอียน และพร้อมที่จะลามไปกัดกินเนื้อเยื่อข้างเคียงได้ทุกเมื่อ... ความทุกข์หรือความรู้สึกเบื้องต่ำที่เกิดขึ้นบ่อยๆจะส่งผลให้สมรรถภาพของสมองค่อยๆเสื่อมลง ความทรงจำ ความสามารถในการตัดสินใจเริ่มถดถอย อารมรณ์ปรวนแปร จิตใจรวนเรหาความมั่นคงหรือความแน่นอนไม่ได้ สมองมีแต่ความหวาดระแวง ตึงเครียด แค้นเคือง หรืออิจฉาตลอดเวลา ไม่เพียงเท่านั้น...ความคิดเบื้องต่ำที่เกิดขึ้นภายในใจยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดความเสื่อมโทรมและโรคร้ายแรงเกิดขึ้นกับร่างกายอีกด้วย...
สาเหตุมาจากจิตใจจะยากต่อการรักษาให้หายขาด ไม่ว่าจะใช้ยาดีหรือหมอที่เก่งกาจสักเพียงใดก็ตาม เปรียบได้กับการรักษาอาการผิดปกติที่เกิดจากการกินอาหารที่เป็นพิษ อาการผิดปกติดังกล่าวมิอาจหายเป็นปกติได้ ตราบใดที่สารพิษหรือของเสียที่เกิดจากอาหารเหล่านั้น ไม่ได้รับการขับหรือชะล้างออกมา เช่นเดียวกัน วิธีรักษาความเสื่อมโทรมและโรคร้ายที่มีสาเหตุมาจากจิตใจดีที่สุด ก็คือการสร้างพลังแสงหรือพลังกายทิพย์ เพราะเป็นการจัดการกับปัญหาที่ฝังในจิตใจมาช้านาน ทำบ่อยๆหรือทำเป็นประจำ ทำให้จิตใจสงบสุข เยือกเย็น และพร้อมถอนรากถอนโคน ของความทุกข์ที่ฝังลึกมานานในจิตใจ...ซึ่งหายาใดเข้ามาเทียบเท่า......
เนื่องจากสรรพสิ่งในจักรวาลของเรา ประกอบด้วยคลื่นพลัง เช่นคลื่นคอสมิก คลื่นแสง คลื่นเสียง จิตและกายของคนเราก็เป็นคลื่น ซึ่งมักมีการแปรเปลี่ยนสภาพกันตลอดเวลา และกายของเราประกอบไปด้วยเซลล์นับล้านๆเซลล์ แต่ละเซลล์มีชีวิต มีระบบขั้วไฟฟ้า ทำให้ร่างกายของคนเราจึงมีคลื่นไฟฟ้าห่อหุ้มอยู่รอบตัวเรา ซึ่งนักบำบัดด้วยคลื่นเรียกว่า “ออร่า” หรือเรียกว่า “พลังแสงกายทิพย์”
พลังแสงกายทิพย์จะมีถึง 7 ชั้นและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ อากาศ บ้านเรือนที่พักอาศัย และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ถ้าอยู่ในที่อากาศแออัด ผู้คนมากมาย ก็มีผลกระทบต่อพลังแสงกายทิพย์  การกินอาหารที่เป็นธรรมชาติช่วยให้พลังแสงกายทิพย์แจ่มใส และพลังแสงกายทิพย์ ยังเกี่ยวกับกรรม ซึ่งก็คือการกระทำของเราเองตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบัน เป็นตัวเก็บเรื่องต่างๆตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ภายในแสงกายทิพย์ของเรา  จะเห็นได้ว่าถ้าเมื่อไหร่เขาเครียด กังวลและเป็นทุกข์ แสงกายทิพย์ก็จะค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง กายเนื้อไม่มีแสงกายทิพย์คลุมอยู่เลย... เมื่อนั้นวิบากกรรมทั้งหลายก็เข้ามากระทบกับกายเนื้อของเราได้ทุกเมื่อ... ซึ่งผลกระทบนี้อาจทำให้พลังแสงกายทิพย์ของเรา อ่อนแอ พร้อมกับมีการฉีกขาด หรือเว้าแหว่ง ทำให้เกิดช่องว่าง เช่น การทำแท้งเด็ก ซึ่งเด็กมีพลังแสงกายทิพย์มาตั้งแต่เกิด แต่ยังไม่ทันสร้างได้แข็งแรงเต็มที่เป็นเวลา 9 เดือน ก็ถูกฆ่าก่อนซะแล้ว !! จึงทำให้พลังกายทิพย์หรือออร่าของเด็ก ถูกตัดขาด จึงไม่สามารถกลายเป็นวิญญาณที่มีพลังกายทิพย์ไปเกิดได้อย่างสมบูรณ์และง่ายดาย...
เมื่อพลังแสงกายทิพย์ เกิดช่องว่าง เปิดให้คลื่นพลังอื่นจากภายนอกส่งผลกระทบ ทำให้กายทิพย์อ่อนแอลงไป ในที่สุดร่างกายของเจ้าของเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา ไม่ว่าเป็นทางกายหรือทางใจ....
คลื่นพลังแสงกายทิพย์หรือแสงออร่า จะมีขั้ว หรือขุมพลัง หรือเรียกว่า จุดปราณ ตามวิชาโยคะ หรือเรียกว่า จักระตามวิชาพลังจักรวาล จุดเหล่านี้เรียงรายอยู่ตามตำแหน่งต่างๆบนร่างกายมนุษย์ นับตั้งแต่ จุดก้นกบ จุดใต้สะดือ จุดหน้าท้อง จุดกลางอก จุดกลางลำคอ จุดหน้าผาก และจุดกระหม่อม…
จุดเหล่านี้ จะเป็นจุดที่สามารถสร้างพลังแสงกายทิพย์ และรับคลื่นสั่นสะเทือนจากแสงสีของเทียนพลังทิพย์ และคลื่นของพลังเทียนจะกระทบกับจุดพลังในร่างกาย โดยการไล่กันมาเป็นคลื่นสี ตั้งแต่ สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีม่วง สีขาว ซึ่งพลังของเทียนนี้มีคุณค่าสูงมาก เป็นหนึ่งในวัตถุที่นักพลังหรือนักบำบัดมักจะนำมาสร้างพลังแสงกายทิพย์ให้กับร่างกายของเราได้รับพลังอย่างสม่ำเสมอ... อานุภาพของพลังแสงเทียน มีคนหลายชนชาติและหลายศาสนา ยามเมื่อต้องการประกอบพิธีมงคลต่างๆ ก็มักจะมีการจุดเทียน.... นั่นเป็นเพราะเทียนย่อมมาพร้อมกับแสงสว่างและความอบอุ่นของไฟ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดอารยธรรมของมนุษยชาติ ไฟกำจัดซึ่งความหนาวเย็น ความมืด ความไม่รู้ รวมถึงภยันตรายต่างๆ ...พลังเทียนจึงเป็นอุปกรณ์ที่สามารถใช้คลื่นนำมาสร้างเป็นพลังแสงกายทิพย์ เพราะแสงเทียนที่มีพลังส่งตรงไปสู่ร่างกาย....ทำให้ชีวิตมีแต่ความเป็นสิริมงคล วิบากกรรมทั้งหลายก็ลดลงหรือหมดไปตามสภาวะที่พลังแสงกายทิพย์ได้เพิ่มขึ้น....จนไม่สามารถเข้าทำใกล้กายเนื้อได้... แล้วสร้างแรงดึงดูดสิ่งที่ใจปรารถนาที่ต้องการ สามารถลบพลังด้านลบ ความกลัวและความมืดบอดแห่งปัญญาลงไปได้ พลังเทียนจึงยังคงเป็นเครื่องมือส่งพลังจิตให้จิตวิญญาณของเรามีความผาสุกอย่างไม่น่าเชื่อ....

คุณเคยสัมผัสกับพลังแสงกายทิพย์หรือแสงออร่าหรือไม่
(ถ้าคุณตอบคำถามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ว่า “ใช่” แสดงว่าคุณเคยได้รับผลจากแสงกายทิพย์ภายนอกที่
มากระทบกับแสงกายทิพย์จากตัวคุณ)
1.เมื่ออยู่ใกล้คนบางคน คุณรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรงหรือไม่
2. คุณเคยรู้สึกตัวเมื่อมีคนจ้องมองคุณอยู่หรือเปล่า
3.คุณเคยรู้สึกชอบหรือไม่ชอบคนบางคนตั้งแต่แรกเห็นหรือไม่
4.คุณเคยรู้สึกว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไร โดยวัดจากความรู้สึกของคุณ
ไม่ใช่จากกิริยาที่ผู้นั้นแสดงออกหรือไม่
5.คุณเคยรู้ว่ามีคนอื่นเข้ามา ก่อนที่คุณจะได้ยินเสียงหรือเห็นตัวเขาหรือไม่
6.แสง สี และ กลิ่นหอมบางชนิดทำให้คุณรู้สึกอึดอัดไม่สบายหรือรู้สึกดีขึ้น หรือไม่
7.พายุ ไฟฟ้า (ฝนที่มีพายุและฟ้าแลบ) ทำให้คุณกระสับกระส่ายหวาดกลัวหรือไม่
8.คุณรู้สึกว่าบางคนทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นหรือกระปรี้กระเปร่าได้มากกว่าคนอื่นๆหรือไม่
9.คุณเคยเดินเข้าไปในห้อง แล้วรู้สึกเคร่งเครียด หงุดหงิดอารมณ์เสียหรือไม่
ห้องบางห้องทำให้คุณอยากหรือไม่อยากเข้าไปหรือไม่
10.คุณเคยไม่ใยดีต่อความรู้สึกประทับใจเมื่อแรกเจอใครสักคน และในที่สุดก็พบว่าความรู้สึกของคุณถูกต้องหรือไม่
11.คุณรู้สึกว่าห้องนี้อยู่สบายและรื่นรมย์กว่าห้องอื่นหรือไม่ คุณเคยสังเกตความแตกต่างเมื่อเข้าไปอยู่ในห้องแต่ละห้องหรือไม่ คุณเคยรู้สึกว่าห้องของพี่น้องแตกต่างจากห้องของคุณหรือไม่ แล้ว คุณรู้สึกอย่างไรกับห้องของพ่อแม่หรือลูกของคุณ

จะเห็นว่าการที่อาจารย์ยกตัวอย่างมาให้พอเข้าใจ...เพื่อทำให้คุณรู้ว่าพลังกายทิพย์นั้นเป็นพลังที่อยู่ข้างกายเราและเกิดมาพร้อมกับเราตั้งแต่เกิด..และไม่ใช่ว่ามนุษย์มีกายทิพย์ได้อย่างเดียว วัตถุ สิ่งของ พืช สัตว์ ล้วนมีพลังแสงกายทิพย์ทั้งนั้น...

แสงพลังกายทิพย์หรือแสงออร่าของคนเรานั้น เป็นแสงที่มีรัศมีล้อมรอบกายหยาบอยู่ทุกทิศทาง แสงพลังกายทิพย์มีสามมิติ คนที่มีสุขภาพแข็งแรง แสงพลังกายทิพย์หรือแสงออร่าจะเป็นรูปกลมรีหรือรูปไข่ล้อมรอยกายหยาบ และแสงกายทิพย์มีทั้งหมด 7 ชั้น โดยเฉพาะชั้นที่สาม มีความสำคัญ เพราะเกี่ยวกับ วิบากกรรมทั้งหมดที่เราได้สร้างมาในอดีตชาติ...

คนทั่วไปจะมีแสงกายทิพย์ล้อมรอบกายหยาบในระยะแปดถึงสิบฟุต เราเคยเห็นภาพวาดที่มีแสงรอบกายของผู้นำศาสนาหลายศาสนา ซึ่งสามารถแผ่รัศมีกายทิพย์ออกไปไกลได้หลายไมล์เลยทีเดียว...จึงไม่แปลกเลยที่คนส่วนใหญ่จึงนิยมในตัวท่าน... ยิ่งสุขกายและสุขใจดีเท่าไหร่ แสงกายทิพย์ยิ่งมีแรงสั่นสะเทือนมากและแผ่รัศมีไปไกลมากขึ้น นี้แหละค่ะ....พลังกายทิพย์จึงมีพลังอำนาจดึงดูด ความรัก การเงิน การงานเข้ามาในชีวิตของเราได้ง่าย... และข้อดีของพลังกายทิพย์คือถ้าแสงมีพลังมากขึ้น ชั้นวิบากกรรมก็จะกว้างขึ้น ทำให้กรรมเก่าๆ
ไม่สามารถเข้าใกล้ตัวของเราได้ และพลังของแสงกายทิพย์นี้สามารถตัดกรรม หรือแก้ไขกรรมในอดีต ได้แบบไม่น่าเชื่อค่ะ....
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าพลังแสงกายทิพย์เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก... ยิ่งแสงพลังกายทิพย์ในตัวเรายิ่งมีมากเท่าไหร่ จะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนมากและแผ่รัศมีไปได้ไกล ตัวของเราก็ยิ่งพลังในการดึงดูดในสิ่งที่ต้องการเข้ามาได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่แสงกายทิพย์ของเราน้อย ลงหรืออ่อนแรงก็ยิ่งทำให้ชีวิตของเรามีแต่เรื่องหรือมีเหตุอุปสรรค.... ถ้าพูดตามสมัยโบราณคือ เหมือนมีเคราะห์เข้ามาก่อกวนเราอย่างง่ายดาย เพราะแสงกายทิพย์ของเรามันแคบมาก ทำให้เวรกรรมซึ่งอยู่ในชั้นที่3 แคบลง จนทำให้เจ้ากรรมนายเวรสามารถตามมาพบกับตัวเราได้โดยง่าย   เพราะฉะนั้น เราควรมาสร้างแสงพลังกายทิพย์เพื่อทำให้แสงหรือรัศมีรอบกายของเรา กว้างขึ้นและมีแรงสั่นสะเทือนพร้อมที่จะดึงดูดเรื่องที่เราปราถนา หรือสิ่งที่ดีๆเข้ามาหาเราได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก การเงิน การงาน และผู้คนที่ดีๆ เพราะถ้าใครมีจิตใจที่คิดดีกับเรา แสงพลังกายทิพย์ก็จะดึงดูดเข้ามา เหมือนมีคนเข้ามาอุปถัมภ์ค้ำชู จะไม่พบกับคนที่เอาเปรียบ หรือ เจ้ากรรมนายเวร มาคอยแต่ข่มเหงกายและใจ   
ปัจจุบันนี้ ผู้คนนับว่ามีแสงพลังกายทิพย์น้อยมาก เพราะได้ถูกสภาวะแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าเป็นเรื่อง เศรษฐกิจ สังคม ครอบครัว เข้ามาบีบคั้นมาก จึงทำให้ ตัวเราจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น เพราะแสงกายทิพย์ของเราอ่อนแอจนทำให้เรารู้สึกล้มเหลว อกหัก เจ็บป่วย ท้อใจ และไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต การที่เรามาจุดเทียนพลังทิพย์เพื่อสร้างแสงพลังกายทิพย์ในตัวเราให้มีแรงสั่นสะเทือนมากขึ้นและรัศมีกายของเรากว้างขึ้น ทำให้เกิดความแข่งแกร่ง ดังที่อาจารย์ได้อธิบายให้กับคุณได้อ่านข้างต้นแล้ว...
การมีชีวิตอยู่ในยุคที่วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย โดยเฉพาะพลังร่างกายของคนเราซึ่งประกอบด้วยแสงรัศมีกายหรือแสงกายทิพย์ที่แผ่ออกมาจากกายหยาบ



อาจารย์รู้ว่า....แสงกายทิพย์ของเราทุกคนมีเหมือนกัน แต่จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ เราแต่ละคนจะสามารถที่เก็บรักษาได้หรือไม่ เพราะแสงกายทิพย์มีตั้งแต่เกิดแล้ว ซึ่งการสร้างกายทิพย์ของเด็กที่ถูกทำแท้ง เป็นหนึ่งเหตุผลหนึ่งที่วิญญาณเด็กไม่สามารถไปเกิดได้เพราะ แสงกายทิพย์ได้ถูกตัดขาดไป จึงทำให้วิญญาณต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ คือ ในร่างมารดาตลอดไปจนกว่าวิญญาณนั้นจะได้สร้างกายทิพย์ขึ้นมาใหม่..... แสงกายทิพย์ของแต่ละคนจะมีความแตกต่างหรือมีความโดดเด่นในตัวเอง... เราจะเห็นว่าถ้าแสงกายทิพย์ของเรามีความถี่หรือแรงสั่นสะเทือนใกล้เคียงกับของคนอื่น หรือ คนรัก ก็จะมีความรู้สึกมีไมตรีจิตต่อกัน หรือ มีการพูดคุยกันถูกคอ เข้าใจความรู้สึกซึ่งกันและกัน เหมือนเคยสร้างบุญกันมาแต่ชาติปางก่อน   ส่วนถ้าแสงกายทิพย์ของเรามีความถี่หรือแรงสั่นสะเทือนแตกต่างจากเรา ก็มักจะลงเอยด้วยการไม่รู้สึกไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่แรกเห็น เหมือนคู่รักบางคู่ตอนแรงพลังกายทิพย์มีแรงความถี่เท่ากัน ทำให้พูดกันรู้เรื่อง รักกันเหลือเกิน...แต่หลังจากที่พลังกายทิพย์ของเราอ่อนกำลังลง จึงทำให้ความรักของเราดูเหมือนจืดจาง ยิ่งติดตามยิ่งหนี เหมือนไม่เคยพบกันซะอย่างงั้น....คนหลายคนมักคิดว่า ทำไม...ดวงชะตาความรักของเราอาภัพอย่างนี้.. เหมือนกับว่าเรามีอะไรผิดปรกติในชีวิตหรือเปล่า...จริงๆแล้วดวงดาวในโหราศาสตร์เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญแต่ถ้าเราเคยคิดว่า..ถ้าเรามัวแต่รอดวงชะตา..เมื่อไหร่เราพบคนรักที่เหมาะสมหรือคู่แท้ อย่างที่หลายๆท่านต้องการที่จะรู้จึงพยายามหานักพยากรณ์ได้ทำนาย ถ้าเขาทำนายว่า ดวงความรักของคุณ เป็นความรักที่ไม่ดี มีแต่ความแตกแยก ร้างรา ตลอดไปจนกว่าตาย ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจของเราหดหู่เศร้า หรืออาจจะสับสนไป จนทำให้จิตใจไม่ยอมรับ ไม่ดิ้นรน ไม่สามารถสร้างความดีหรือมองโลกในแง่ดีได้อย่างไร...จึงทำให้คนเราทุกวันนี้..มีแต่ความทุกข์แบบสับสนกันอย่างมากๆ ... ที่อาจารย์นำบทความเกี่ยวกับการสร้างพลังกายทิพย์มาให้ท่านได้เรียนรู้ได้มีวิธีการทางเลือกหนึ่ง และก็ได้ผลกันทุกคนถ้าได้ทำอย่างจริงจัง โดยการมาเริ่มสร้างแสงพลังกายทิพย์กันเพื่อทำให้ชีวิตใหม่ของเรามีแต่ความสุข และสมหวังได้อย่างง่ายดายและตลอดไป โดยที่ไม่ต้องอาศัย ชะตาชีวิตมาเป็นเครื่องกำหนดอีกต่อไป....ยิ่งทุกวันนี้คนเราถ้าไม่เข้าใจก็จะอยู่ในโลกแบบทุกข์ตลอดไป...

อาจารย์จึงได้การนำวิชาการสร้างกายทิพย์ออกมาเผยแพร่ให้ได้เข้าใจ โดยได้นำพลังแสงเทียนพลังทิพย์ทั้ง 7 สีเข้ามาให้ร่างกายของเราได้มีการปรับเปลี่ยนความถี่หรือเพิ่มแรงสั่นสะเทือนภายในตัวเราให้กว้างขึ้น และให้เราได้เป็นผู้กำหนดชีวิตได้ตัวของเราเอง และเป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น และปกป้องตนเอง ให้หลีกหนีจากวิบากกรรมต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และการสร้างแสงกายทิพย์นี้เป็นพลังที่สามารถดึงดูดและแลกเปลี่ยนกันได้ ถ้าเราไม่เคยสร้างพลังกายทิพย์ เรารู้สึกว่าตอนเย็นๆเมื่อเรากลับบ้าน เรารู้สึกเหนื่อยล้า หรือมักเกิดความคิดแปลกๆ ที่มีแต่ความขุ่นมัว เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า พลังกายทิพย์ของเราได้ถูกดึงดูดไปและสะสมพลังกายทิพย์ที่มีแต่ความทุกข์ใจ และขุ่นมัว จากคนอื่นมาตลอดวัน ไม่ว่าจะเกิดจากการพูดคุยกันตัวต่อตัว หรือทางโทรศัพท์ เมื่ออยู่ใกล้ทำให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ถ้าเป็นไปมากๆทำให้ตัวเราไม่เหลือพลังกายทิพย์อยู่ตามธรรมชาติ อีกเลย ทำให้ร่างกายของเรารู้สึกเบื่อ เพราะพลังกายทิพย์ของเราไม่กว้างพอและไม่สามารถป้องกันกายเนื้อให้มีสภาพที่ดีได้

การจุดเทียนพลังทิพย์ทำให้สร้างแสงพลังกายทิพย์เพื่อดึงดูดความรักและแก้เคราะห์กรรมตั้งแต่อดีตชาติได้อย่างไร.... อาจารย์จะเขียนต่อตอน 2 ขอให้ท่านที่ได้อ่านบทความนี้มีความสุขและมีแนวคิดใหม่เพื่อทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นกว่าเดิมน่ะค่ะ....

ด้วยความรักปราถนาดีอย่างจริงใจ...
by  Antiga   Ariyachawul
(อาจารย์ อันติกา  อริยชวัล)







Copyright article from www.promdeva.com.

No comments:

Post a Comment