Sunday, October 17, 2010

เลือกคิด เชื่อในทางบวก.... คือสิ่งเยียวยาจิตใจให้เราทุกคน

        ....ทุกความคิด ที่เราคิด ทุกคำพูดที่เราพูด และทุกความเชื่อที่เรายึดถืออยู่นั้นเป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจมาก เพราะเป็นการจัดรูปประสบการณ์ของชีวิตเรา ทุกครั้งที่เราคิดอะไรสักเรื่องหรือพูดอะไรสักคำ จักรวาลสิ่งศักดิ์กำลังเงี่ยหูฟังและพูดตอบเรา ดังนั้นถ้าเกิดมีบางอย่างในชีวิตที่เราไม่ชอบ เราก็สามารถเปลี่ยนมันได้   เพราะเรามีพลังความคิดและคำพูด   เมื่อคนเราเปลี่ยนความคิดและคำพูด ชีวิตเปลี่ยนไปด้วย ไม่ว่าเราจะเป็นใครมาจากไหน   จะเคยมีชีวิตเมื่อสมัยเด็กที่ยากแค้นสำคัญเพียงใด วันนี้เราสามารถสร้างให้ดีขึ้นได้ นี้คือแนวคิดที่ให้พลังอำนาจอันอิสระเสรี เมื่อใดที่เราเชื่อมั่นในความคิดนี้ เมื่อนั้นจะกลายเป็นจริง นั่นคือเราต้องเปลี่ยนความคิดของเราก่อน จากนั้นชีวิตก็จะสนองตอบเรา.......

เลือกคิด เชื่อในทางบวก.... คือสิ่งเยียวยาจิตใจให้เราทุกคน
โดย ธูปพลังรัก อาจารย์อันติกา   อริยชวัล
        วันนี้อาจารย์ได้นำบทความสร้างกำลังใจมาให้ท่านผู้อ่านได้นำไปใช้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย   อย่างน้อย ณ.ที่นี้อาจารย์ยังเป็นกำลังใจให้ทุกท่านได้ผ่านมรสุมทั้งหลายผ่านไปแบบราบรื่น ขอเป็นกำลังใจน่ะค่ะ
สิ่งที่พวกเราชอบทำเสมอๆ ก็คือ   การใช้ชีวิตอยู่กับอดีต  ชีวิตที่เรากำลังดำเนินขณะนี้เป็นชีวิตที่สร้างขึ้นมาจากความคิดและความเชื่อในอดีตของเรา   ดังนั้นถ้าหากว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นมาในชีวิตและเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็มีทางเลือกที่จะสร้างประสบการณ์ในอนาคตของเราให้เป็นแบบใหม่   เมื่อเราเริ่มเปลี่ยนการคิดของเราเสียใหม่ อาจจะยังไม่เห็นผลดีทันทีทันใด แต่พอทำต่อไปเรื่อยๆ เราจะพบว่าวันพรุ่งนี้ของเราเริ่มเปลี่ยนไป   ถ้าอยากให้พรุ่งนี้ของเราดี ก็ต้องเปลี่ยนการคิดของเราเสียตั้งแต่วันนี้ ความคิดวันนี้จะเป็นตัวสร้างประสบการณ์ชีวิตในอนาคต
        ลูกศิษย์หลายๆคนมักเข้ามาถามอาจารย์แม่ว่า   “ฉันจะคิดในแง่ดีได้ยังไง ในเมื่อมีคนที่ชอบพูดบั่นทอนกำลังในอยู่รอบๆ”  ซึ่งอาจารย์ตอบไปว่า   “ยามใดที่อาจารย์ต้องอยู่กับคนที่ชอบพูดแต่เรื่องไม่ดี อาจารย์ตอบตัวเองเงียบๆว่า   มันอาจจะดีสำหรับคุณ แต่ไม่ถูกต้องสำหรับฉัน”
หรือบางทีอาจารย์พูดออกมาดังๆ เลย.... อาจารย์เชื่อและยังยืนหยัดกับความเชื่อในทางบวกของตัวเอง และอาจารย์มักจะหลีกเลี่ยงการคบกับคนแบบนี้เป็นที่สุด หลายๆคนอาจมีคำถามเสมอว่า ทำไมเราจึงต้องอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ร้ายด้วย   อาจารย์แม่ตอบว่า   ขอให้จำเอาไว้น่ะค่ะว่าเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนตัวเองได้ เมื่อเราเปลี่ยนความคิดภายในได้ คนอื่นๆก็ตอบสนองความเปลี่ยนแปลงนั่นเองแหละค่ะ    สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องสามารถทำได้ ก็คือการเปลี่ยนรูปแบบความคิดของเราเสียใหม่ ไม่ต้องสนใจน่ะค่ะว่างานเรายุ่งหรือหนักแค่ไหน เพราะเราต้องใช้ความคิดไปพร้อมๆกันได้ และไม่ว่าใครก็ไม่สามารถล่วงล้ำเข้ามาในความคิดของเราได้ค่ะ...
        อาจารย์อยากให้ทุกท่านมีความคิดเสียใหม่ เพราะสมองของเราทุกคนจะมี “ตัวนำสารเคมี” ซึ่งวิ่งไปวิ่งมาในร่างกายของเราเวลาที่เราคิดอะไรสักเรื่องหรือพูดอะไรสักคำ ถ้าเป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องโกรธ โมโห หรือตำหนิติเตียน สารเคมีที่สมองผลิตขึ้นจะไปกดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อใดที่ความคิดของเราเป็นเรื่องความรัก   ให้กำลังใจ และคิดในทางที่ดี เจ้าตัวนำสารนี้ก็จะนำสารเคมีไปทำให้ระบบคุ้มกันกระชุ่มกระชวยขึ้น ในที่สุดวิทยาศาสตร์ก็เห็นพ้องกับสิ่งที่พวกเราหลายคนรู้มานานแล้วว่า กายกับจิตของเรามีการติดต่อกัน การสื่อสารที่เป็นไประหว่างจิตใจกับร่างกายนี้ไม่เคยขาดตอน จิตใจคอยถ่ายทอดความคิดให้กับเซลล์ต่างๆของร่างกายอยู่สม่ำเสมอ
        นั่นก็หมายถึงว่าทุกขณะของชีวิต เรากำลังเลือกความคิดที่บำรุงหรือบั่นทอนตัวเราทั้งโดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ความคิดเหล่านี้แหละที่ส่งผลต่อร่างกายของเรา เพียงหนึ่งความคิดอาจไม่มีอิทธิพลมากนัก แต่ในวันหนึ่งๆเราคิดเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากกว่า 60,000เรื่อง และผลของความคิดนั้นก็สะสมไว้ ความคิดที่เป็นพิษจะกัดกร่อนร่างกายของเรา วิทยาศาสตร์ให้การยืนยันแล้วในขณะนี้ว่าคนเราไม่ควรปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดในทางลบ เพราะมันจะทำให้เราป่วย หรือไม่ฆ่าเราทางอ้อม
        นานมาแล้วหลายสิบปี อาจารย์เคยมีความไม่เข้าใจคำพูดที่ว่า “ฟังไม่เห็นจะเป็นจริงตรงไหนเลย” เพราะก็เห็นว่ามีคนรวยแล้วก็คนจน คนสวยกับคนไม่สวย คนฉลาดกับคนโง่ คนต่างสีผิว ต่างเชื้อชาติศาสนา แล้วยังโลกทัศน์ในชีวิตอีก มีความแตกต่างมากมายเหลือเกินในระหว่างผู้คน แล้วจะมาบอกได้อย่างไรว่า คนเรานั้นเกิดมาเท่าเทียมกัน
        แต่ในที่สุด อาจารย์ก็เริ่มเข้าใจและเรียนรู้ว่ามันหมายถึงอะไร ก็เพราะว่าความคิด คำพูดของเรามีผลต่อร่างกายทุกส่วนอย่างเท่าเทียมกัน เพราะมีตัวสารเคมีที่วิ่งพล่านไปทั่วตัวเราทุกคนและทุกครั้งที่เราพูดหรือเราคิดทุกคนเหมือนกัน ความคิดในทางลบเป็นพิษต่อร่างกายของคนอเมริกันพอๆกับที่พิษต่อร่างกายของคนจีน คนไทย หรือคนอิตาเลียน เพราะความโกรธเป็นพิษ ไม่ว่าจะชนเชื้อชาติไหน ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชาย พวกรักร่วมเพศหรือรักต่างเพศ เด็กและคนแก่ ทุกคนมีปฏิกิริยากับสารเคมีที่เป็นกระบวนการทางความคิดของเราที่สร้างขึ้นมาอย่างเสมอหน้ากัน
        การให้อภัยและความรัก คือสิ่งที่จะช่วยเยียวยาจิตใจของเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนประเทศใดก็ตาม ทุกคนต้องมีการเยียวยาจิตใจเสียก่อนที่จะรักษาความป่วยไข้ทางกายอย่างถาวร   เรามาอยู่ในโลกวันนี้เพื่อเรียนรู้บทเรียนของการให้อภัยและการรักตัวเอง ไม่มีใครจะหลีกหนีบทเรียนนี้ไปได้ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะอยู่ที่ไหนก็ตาม คุณเองเล่ากำลังต่อต้านบทความนี้อยู่หรือไม่ และยังคิดว่าตัวเองถูกที่สุดและกำลังขมขื่นอยู่หรือเปล่าค่ะ คุณเต็มใจที่จะเรียนรู้การให้อภัยผู้อื่นและยกโทษให้ตัวเองหรือเปล่า คุณจะรักตัวเองและยินดีที่ก้าวต่อไปสู่ความมีชีวิตที่เต็มบริบูรณ์หรือไม่ สิ่งเหล่านี้คือบทเรียนของชีวิตที่มีผลกระทบต่อพวกเราทุกคนอย่างเสมอหน้ากัน เราเป็นคนเหมือนกัน   เกิดมาเท่าเทียมกัน

   เพราะฉะนั้น ความรักก็คือสิ่งที่จะเยียวยารักษาจิตใจของเรา       .....ทุกคน
....ด้วยความรักความปรารถนาดีอย่างจริงใจ
อันติกา   อริยชวัล.......


Copyright article from www.promdeva.com.

No comments:

Post a Comment