การสะกดจิดบำบัดเป็นศาสตร์และศิลป์ในการแก้ไขบำบัดอุปนิสัย พฤติกรรม ความเคยชิน และ สภาวะของจิตใจที่ไม่พึงปรารถนา ที่ได้ผลดีมากวิธีหนึ่งโดยไม่ต้องใช้ยา ความจริงประการหนึ่งของมนุษย์ที่ถูกมองข้ามไปเสมอคือเรื่องที่ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกมาจากอุปนิสัยภายในจิตใจนั้นเองเป็นต้นเหตุของปัญหามากมายในชีวิตของคนเรา (เช่นเครียดวิตกกังวลเกินเหตุ กินมากเกินจำเป็น ติดบุหรี่ ติดอ่าง กลัวแบบโฟเบีย IBS-ถ่ายท้องหรือท้องเสียเมื่อเครียดหรือตื่นเต้น ฯลฯ)
ยกตัวอย่างเช่นปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนนั้นเกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารอาหารเกินกว่าความจำเป็นแทบว่าจะทุกๆวัน คนอ้วนส่วนใหญ่มีนิสัยติดการกินอาหาร พวกเขากินอาหารไม่ใช่เพราะร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยง หากแต่ว่าพวกเขากินเพราะเขามีนิสัยการแสวงหาความสุขจากการได้ใช้ปากเคี้ยวและกลืนอาหาร! การกินกลายเป็นพฤติกรรมที่ทำให้เขามีความสุข ดังนั้นพวกเขาจึงได้หล่อหลอมอุปนิสัยติดการกินอาหาร เพราะการกินทำให้เขามีความสุข! ดังนั้นหากเราสามารถทำให้คนอ้วนเปลี่ยนไปหาความสุขได้จากวิธีการอื่นนอกจากการกินแล้วในไม่ช้าน้ำหนักของเขาจะลดลงเองและเป็นการลดลงอย่างถาวรและเป็นธรรมชาติด้วย... การสะกดจิตบำบัดเพื่อแก้นิสัยติดการกินจึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากที่สุดทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาน้ำหนักเกิน
เราสามารถฝึกฝนเพื่อการสะกดจิตบำบัดตัวเองได้โดยไม่ยากนักและผลที่ได้ก็คุ้มค่ามากจริงๆ การสะกดจิตบำบัดตนเองมีหลายแนวทาง ในที่นี้จะได้แนะนำแนวทางที่ง่ายแนวทางหนึ่งไว้สำหรับผู้ที่สนใจได้ฝึกฝนกัน...
การสะกดจิตบำบัดตนเองประกอบด้วยขั้นตอนใหญ่ๆสามขั้นตอนคือ
1.การกำหนดประเด็นเป้าหมายของการบำบัด
2.การให้ข้อมูลแก่จิตสำนึก
3.การนำตัวเองเข้าสู่ภวังค์แห่งจิตใต้สำนึกหรือที่เรียกว่าเข้าสู่สภาวะถูกสะกดจิต เมื่อเข้าสู่ภวังค์แล้วข้อมูลที่ได้ป้อนไว้ในจิตสำนึกจะซึมซาบเข้าสู่จิตใต้สำนึกสร้างอุปนิสัยใหม่ต่อไปซึ่งเป็นปลายทางของการบำบัดที่ต้องการ
ขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อการสะกดจิตบำบัดตนอง
1.กำหนดเป้าหมายการบำบัดที่ชัดเจน เช่นต้องการคลายเครียด ต้องการลดการสูบบุหรี่ ต้องการควบคุมพฤติกรรมการบริโภคและปริมาณอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ต้องการเลิกนิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง ฯลฯ
2.เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้วให้เขียนคำสั่งสำหรับการบำบัดเป็นประโยคสั้นๆสัก 1-2 ประโยค โดยใช้คำพูดที่เป็นบวก และเป็นปัจจุบันกาล (หลีกเลี่ยงคำว่า “ไม่” และคำว่า “จะ”) ตัวอย่างเช่น หากต้องการควบคุมพฤติกรรมการบริโภคและลดปริมาณอาหาร อาจเขียนคำสั่งว่า “เราเบื่ออาหารแป้ง เราเบื่ออาหารมัน เราเบื่ออาหารหวาน เราชอบกินผักและผลไม้”
3.เริ่มช่วงการสะกดจิตตัวเองเพื่อการบำบัดโดย นั่งหรือนอนในที่สงบสบาย ผ่อนคลายร่างกาย ปล่อยวางเรื่องราวต่างๆในใจ ทำใจสบายๆ เปิดเพลงที่ทำให้คลื่นสมองลดระดับลงต่ำ (โดยมากเป็นเพลงบรรเลงที่มีท่วงทำนองไหลเลื่อนสม่ำเสมอปราศจากจังหวะกระแทกกระทั้น ปราศจากเสียงเครื่องดนตรีที่โดดออกมาอย่างแปลกแยกซึ่งอาจทำให้ตกใจ)
4.สูดลมหายใจเข้าให้ยาวและลึกถึงท้องแล้วค่อยๆระบายออกมาช้าๆ...ให้ทำดังนี้สามครั้ง แล้วหลับตาลงเบาๆ
5.ป้อนข้อมูลคำสั่งที่เตรียมไว้ให้แก่ตัวเองด้วยการพูดเบาๆกับตัวเอง 10-15 ครั้ง
6.นำตัวเองเข้าสู่ภวังค์แห่งจิตใต้สำนึกโดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่นเทคนิค Progressive Relaxation โดยให้สร้างจินตนาการผ่อนคลายร่างกายทีละส่วนจากศีรษะจรดปลายเท้า พูดบอกตัวเองว่าส่วนนั้นของรางกายกำลังผ่อนคลาย เช่น “หน้าผากผ่อนคลาย... ดวงตาผ่อนคลาย... แก้มผ่อนคลาย... คางผ่อนคลาย... กล้ามเนื้อต้นคอผ่อนคลาย... หน้าอกผ่อนคลาย.... ท้องผ่อนคลาย... แขนผ่อนคลาย... หัวเข่าผ่อนคลาย... น่องผ่อนคลาย... เท้าผ่อนคลาย...” หรือใช้เทคนิค Pleasure Imaginary โดยสร้างจินตนาการเห็นตัวเองเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่ที่เราโปรดปรานเช่นทะเล ภูเขา หรือสร้างจินตนาการการเลื่อนไหลไปอย่างต่อเนื่อง เช่นจินตนาการว่าเรากำลังดำน้ำดิ่งลงไปในทะเลลึก หรือจินตนาการเห็นตัวเราเป็นสะเก็ดดาวตกที่พุ่งผ่านฟากฟ้าลงมา หรืออาจจินตนาการว่าเรากำลังนั่งรถไฟชมภูมิประเทศข้างทางไปเรื่อยๆ หรือเรากำลังลอยขึ้นไปบนก้อนเมฆ ...
7.หลับไปกับภวังค์และจินตนาการจนกระทั่งตื่นขึ้นมาเอง
การเข้าสู่ภวังค์จิตใต้สำนึกด้วยตนเองอาจเข้าสู่ภวังค์ได้ไม่ลึกนักซึ่งมีผลต่อการที่จิตใต้สำนึกจะรับรู้ข้อมูลที่ได้ป้อนเข้าไป ดังนั้นการสะกดจิตบำบัดด้วยตนเองให้ได้ผลจะต้องกระทำซ้ำทุกวันอย่างน้อยวันละครั้ง (กระทำก่อนนอนสะดวกที่สุด) และต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อย 21 วันขึ้นไปจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ปรากฏชัดเจน
แต่หากใครต้องการได้ผลลัพธ์การบำบัดที่รวดเร็วก็ควรได้รับการบำบัดจากนักสะกดจิตบำบัดอาชีพโดยตรง นักสะกดจิตบำบัดอาชีพคือผู้ที่ผ่านการศึกษาเรียนรู้ทั้งในภาคทฤษฎีและได้รับการฝึกฝนอบรมภาคปฏิบัติจนกระทั่งสอบผ่านได้รับประกาศนียบัตรนักสะกดจิตบำบัด (Certified Hypnotherapist – C.Ht.) จากสถาบันฝึกสอนการสะกดจิตมาตรฐานรับรองความรู้ความสามารถมาแล้ว













































No comments:
Post a Comment