นักสะกดจิตตั้งแต่สมัยแรกจวบจนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบันได้พัฒนาเทคนิควิธีการสะกดจิตกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่เทคนิควิธีของแต่ละสำนักสะกดจิต (Hypnosis School) ต่างก็มีคุณค่าในตัวเองและได้รับการยอมรับในแวดวงนักสะกดจิตบำบัดด้วยกันทั้งสิ้น ในสมัยปัจจุบันสถาบันฝึกอบรมการสะกดจิต ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา มักใช้เทคนิควิธีการสะกดจิตตามแนวทางและวิธีการของ Nancy School, Dave Elman, และ Milton Erickson เป็นหลัก อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้เรียนรู้พื้นฐานที่ถูกต้องแล้วนักสะกดจิตบำบัดส่วนใหญ่มักจะพัฒนาวิธีการที่เหมาะสมเป็นสไตล์ของตนเองขึ้นมาใช้งานทั้งนั้น
เทคนิควิธีการสะกดจิตที่เป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันมักอยู่ในลักษณะหนึ่งลักษณะใดต่อไปนี้หรืออาจเป็นวิธีที่ผสมผสานกัน
- โดยการใช้เสียงพูดสั่ง (Oral Techniques)
- โดยใช้พลังอำนาจจิตที่กล้าแข็งกว่า (Mesmeric Techniques) ซึ่งแสดงออกโดยใช้สายตา โทนเสียง กิริยาท่าทาง ตลอดจนพิธีกรรมและเครื่องมือเฉพาะ
- โดยการให้จ้องมองวัตถุที่มีแสงสว่างจ้า (Dr. Braid’s method)
- โดยการทำให้หลงเพลินหมกมุ่นอยู่กับอะไรบางอย่าง (Fascination Techniques)
- โดยการสัมผัสแตะต้องไปตามตัว (Contact passes with)
- โดยการกวาดมือไปตามตัวแต่ไม่แตะต้อง (Non-contact passes over)
- โดยการให้ฟังเสียงระดับเดียวอย่างต่อเนื่อง (Monotonous procedure)
- โดยใช้เสียงดังและคาดคิดไม่ถึง (Loud & unexpected noises)
- โดยใช้เพลงกล่อมเบาๆ (Lullably Techniques)
- โดยใช้อุปกรณ์หมุนวนและแสงแวบวาบ (Revolving spiral & flashing lights)
- โดยการสั่งจิตของตัวเอง (Auto-suggestion / Self-hypnosis)
- โดยการกระทำโดยตรงกับร่างกาย (Physical induction) เช่นบีบนวด คลึง แช่น้ำอุ่น อบไอน้ำฯลฯ
- โดยการทำให้ช็อคตกใจกระทันหัน (Shock induction)
- นักสะกดจิตบำบัดในอดีตที่ผ่านมาต่างก็ได้พัฒนากระบวนการสะกดจิตให้เกิดผลเร็วขึ้นโดยได้พัฒนาเทคนิควิธีที่จะนำผู้รับการบำบัดเข้าสู่ภวังค์โดยใช้เวลาที่สั้นลง แต่กระนั้นก็ยังเกิดคำถามที่ตามมา นั่นคือ ...
1. จะทราบได้อย่างไรว่าผู้รับการบำบัดได้เข้าสู่ภวังค์ในระดับที่ลึกพอที่จะป้อนคำสั่งบำบัดให้แก่จิตใต้สำนึกได้อย่างมีคุณภาพและเกิดผลถาวร?
2. เป็นการสมควรหรือไม่ที่จะทำการทดสอบความลึกของภวังค์ก่อนที่จะป้อนคำสั่งบำบัด?
3. หากสมควรที่จะทดสอบ การทดสอบควรทำอย่างไร?
นักสะกดจิตบำบัดสำนักต่างๆมีความเห็นต่อปัญหานี้ในแนวทางที่แตกต่างกัน 3 แนวทางได้แก่...
1. สมควรทดสอบความลึกของภวังค์ของผู้รับการบำบัด เพื่อทำให้การบำบัดได้รับผลสำเร็จแน่นอน
2. ไม่สมควรทดสอบความลึกของภวังค์ของผู้รับการบำบัด เพราะหากผู้รับการบำบัดทราบจากการทดสอบว่าตัวเองไม่ได้เข้าสู่ภวังค์ที่ลึก เขา/เธอ จะรับรู้ด้วยจิตสำนึกว่ากำลังได้รับการบำบัดจากนักบำบัดที่ไม่เก่ง หรือไม่มีความสามารถเพียงพอ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วการบำบัดครั้งนั้นก็จะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
3. การทดสอบภวังค์ไม่ใช่ประเด็นที่ควรสนใจ เพราะระดับความลึกของภวังค์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดช่วงเวลาของการสะกดจิต
2. ไม่สมควรทดสอบความลึกของภวังค์ของผู้รับการบำบัด เพราะหากผู้รับการบำบัดทราบจากการทดสอบว่าตัวเองไม่ได้เข้าสู่ภวังค์ที่ลึก เขา/เธอ จะรับรู้ด้วยจิตสำนึกว่ากำลังได้รับการบำบัดจากนักบำบัดที่ไม่เก่ง หรือไม่มีความสามารถเพียงพอ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วการบำบัดครั้งนั้นก็จะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
3. การทดสอบภวังค์ไม่ใช่ประเด็นที่ควรสนใจ เพราะระดับความลึกของภวังค์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดช่วงเวลาของการสะกดจิต
Dave Elman เป็นนักสะกดจิตชั้นแนวหน้าที่ได้พัฒนาเทคนิคการสะกดจิตที่นำผู้รับการบำบัดเข้าสู่ภวังค์พร้อมๆกับสามารถแสดงเครื่องหมายของ การเข้าภวังค์ที่ลึกได้ด้วย ดังนั้นการใช้เทคนิควิธีการสะกดจิตของ Dave Elman จึงสามารถตอบปัญหาข้างต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ













































No comments:
Post a Comment