“ร่างกายมนุษย์เรามีกลไกธรรมชาติของพลังจิตใต้สำนึกที่มหัศจรรย์ซึ่งสามารถบำบัดรักษา ฟื้นฟู และพัฒนาศักยภาพทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาให้แก่ตัวเองอยู่แล้ว... นี่คือของขวัญที่พระเจ้าได้มอบให้แก่มนุษย์ทุกคน มันคือขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเราเองและรอวันเปิดนำออกมาใช้...”
Subconscious Mind หรือจิตใต้สำนึกเป็นแหล่งรวมอุปนิสัย บุคคลิกภาพ และพลังงานอันไร้ขอบเขตแห่งจิตใจมนุษย์ จิตใต้สำนึกควบคุมการทำงานของอวัยวะอัตโนมัติทุกอย่างภายในร่างกาย จิตใต้สำนึกเป็นแหล่งความจำถาวรของมนุษย์ที่ไม่มีขนาดจำกัด ประสบการณ์ในชีวิตประจำวันทั้งหมดของมนุษย์ถูกเก็บบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึก
ความตั้งใจมั่นอันแรงกล้า (Strong Intention) หรือกำลังใจ (Will Power) หรือแรงจูงใจ (Motivation) ซึ่งทำงานในระดับของจิตสำนึก (Conscious Mind) แม้จะมีกำลังมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถมีพลังอำนาจเทียบได้กับพลังแห่งจิตใต้สำนึก
การประยุกต์ใช้ประโยชน์จากจิตใต้สำนึกในชีวิตประจำวันของเรามีมหาศาลเกินกว่าจะบรรยายได้หมด ตั้งแต่การบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บ การแก้ไขอุปนิสัยแย่ๆที่ก่อปัญหาในชีวิต การเพิ่มศักยภาพของกระบวนการศึกษาเรียนรู้ แม้กระทั่งการผ่อนคลายความตึงเครียดในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามการเข้าถึงเพื่อใช้งานพลังจิตใต้สำนึกก็จำเป็นต้องกระทำอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนและกระบวนการที่ถูกต้องเช่นกัน
การใช้ประโยชน์จากพลังจิตใต้สำนึกต้องอาศัยกระบวนการสั่งจิตใต้สำนึก (Subconscious Mind Programming หรือ Subconscious Mind Suggestion) การสั่งจิตใต้สำนึกจะเกิดขึ้นได้เมื่อจิตสำนึก (Conscious) ถูกเบี่ยงเบนให้หันเหออกไปจากการทำหน้าที่ปกติของมันชั่วคราวและปล่อยให้จิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) ได้มีโอกาสแสดงตัวออกมารับคำสั่งและลำเลียงเข้าไปเก็บจดจำไว้ภายในจิตใจเสมือนหนึ่งเป็นอุปนิสัยใหม่ที่ได้สร้างขึ้น เพื่อนำออกมาปฏิบัติในชีวิตจริงในลักษณะเดียวกันกับการแสดงออกของอุปนิสัยอื่นๆอันเป็นปกติ สภาวะที่จิตสำนึกถูกเบี่ยงเบนออกไปชั่วคราวและจิตใต้สำนึกแสดงตัวออกมาทำงานแทนนั้นเรียกว่าการอยู่ในสภาวะภวังค์ (Trance)
ในความเป็นจริงแล้ว สภาวะภวังค์ (Trance) นี้เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนทุกวัน... เราอยู่ในสภาวะภวังค์ในชั่วขณะที่กำลังจะหลับ และในชั่วขณะที่กำลังจะตื่นขึ้นจากหลับ นอกจากนี้แล้ว ในขณะของการใจลอยหรือการฝันกลางวัน การจดจ่อหรือหมกมุ่นติดพันอย่างเพลิดเพลินกับการกระทำบางอย่าง เช่นการอ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูรายการทีวี การขับรถในเส้นทางประจำที่เป็นไปตามความเคยชิน หรือแม้กระทั่งการทำงานบ้านอย่างสบายใจก็เป็นการอยู่ในสภาวะภวังค์เช่นกัน ขณะที่อยู่ในสภาวะภวังค์ สมองส่วนเหตุผลหรือจิตสำนึกจะทำงานน้อยมากหรือหยุดการทำงานไปชั่วคราว แต่จิตใต้สำนึกจะเปิดตัวออกเต็มที่และความคุมการทำงานของร่างกายทุกส่วน การทำงานในภวังค์เป็นการทำงานด้วยคำสั่งจากจิตใต้สำนึก (Subconscious Driven) เป็นไปอย่างต่อเนื่องแบบอัตโนมัติ เป็นการทำงานด้วยหัวใจและความรู้สึกอันคุ้นชินจากภายในไม่ใช้เหตุผล ในขณะที่การทำงานที่ไม่ได้อยู่ในภวังค์เป็นการทำงานด้วยคำสั่งจากจิตสำนึก (Conscious Driven) ซึ่งเป็นการทำงานด้วยกระบวนการใช้เหตุผลทางสมอง...
นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาการเกี่ยวกับภาวะการทำงานของสมองพบว่าในขณะที่อยู่ในภวังค์ คลื่นความถี่ไฟฟ้าในสมองจะลดลงจากคลื่นความถี่ปกติซึ่งเรียกว่าคลื่นเบต้า (Beta Wave ความถี่14-21 รอบต่อวินาที) ไปสู่คลื่นสมองความถี่ต่ำที่เรียกว่าคลื่นอัลฟ่า (Alpha Wave ความถี่ 7-14 รอบต่อวินาที) คลื่นสมองที่มีความถี่ต่ำลงไปกว่าสภาวะภวังค์เรียกว่าคลื่นเธต้า (Theta Wave ความถี่ 4-7 รอบต่อวินาที) เป็นสภาวะของการนอนหลับโดยยังมีการฝันเป็นระยะๆ และคลื่นสมองที่มีความถี่ต่ำลงไปอีกเรียกว่าคลื่นสมองเดลต้า (Delta Wave ความถี่ต่ำกว่า 4 รอบต่อวินาที) เป็นสภาวะการนอนหลับสนิทที่สุดโดยปราศจากการฝัน
การสั่งจิตใต้สำนึกคือการป้อนข้อมูลให้แก่จิตใจด้วยเสียงพูดในขณะที่สภาวะจิตใจกำลังจะเลื่อนระดับลงสู่ภวังค์ หรือ ป้อนข้อมูลให้เกิดการสร้างภาพจินตนาการภายในจิตใจในขณะที่จิตใจอยู่ในภวังค์แล้ว การทำให้จิตใจเข้าสู่ภวังค์กระทำโดยเข้ารับการสะกดจิตโดยตรงจากนักสะกดจิตบำบัดซึ่งสามารถนำเราเข้าสู่ภวังค์ลึก (ในภาวะภวังค์ลึกความถี่คลื่นสมองลดลงต่ำจนเกือบเข้าสู่สภาวะการนอนหลับ แต่แท้จริงไม่ใช่การนอนหลับ) หรือเราอาจเข้าสู่ภวังค์ด้วยการสะกดจิตตนเองก็ได้...
ข้อแตกต่างของการรับการสะกดจิตโดยนักสะกดจิตบำบัดกับการสะกดจิตตนเองคือ การรับการสะกดจิตนั้นนักสะกดจิตบำบัดจะเป็นผู้ป้อนข้อมูลเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเราในขณะจิตใจของเราเข้าสู่ภวังค์ที่ลึกแล้วซึ่งได้ผลรวดเร็วดีมาก ในขณะที่การสะกดจิตตัวเองนั้นตัวเราจะเป็นผู้ป้อนข้อมูลให้แก่จิตสำนึกด้วยตนเองก่อนที่จะเปลี่ยนสภาวะของจิตใจเข้าสู่สภาวะภวังค์(ซึ่งอาจเป็นภวังค์ที่ไม่ลึกนัก) เมื่อจิตใจเข้าสู่ภวังค์แล้วข้อมูลที่ป้อนไว้ก่อนหน้านั้นในระดับของจิตสำนึก (Conscious) จะซึมซาบลงสู่ระดับจิตใต้สำนึก (Subconscious) เอง ทั้งนี้ยิ่งเราเข้าสู่ภวังค์ลึกมากเพียงใด การสั่งจิตใต้สำนึกก็จะเห็นผลเร็วขึ้นมากเพียงนั้น... การมีประสบการณ์ในการเข้าสู่ภวังค์บ่อยมากเพียงใดก็ยิ่งทำให้เราสามารถเข้าสู่ภวังค์ได้เร็วและลึกมากขึ้นเพียงนั้น และในหลายสิบปีที่ผ่านมาของการพัฒนาวิธีการสั่งจิตใต้สำนึกและฝึกฝนการเข้าสู่ภวังค์ทั่วโลก ยังไม่พบหลักฐานแสดงว่าการปฏิบัติเข้าสู่ภวังค์เพื่อการบำบัดรักษาและพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ด้วยกระบวนการที่ถูกต้องได้ก่อให้เกิดอันตรายใดๆแก่ผู้ปฏิบัติ
เมื่อออกจากภวังค์แล้วจะพบว่าเรามีความรู้สึกแจ่มใสภายในเป็นอย่างมาก ความเครียดและความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าหายไปจนหมดสิ้น ดังนั้นประโยชน์อย่างแรกสุดที่เราจะได้รับจากกระบวนการสั่งการจิตใต้สำนึกคือการขจัดความตึงเครียดของร่างกายและจิตใจ นับเป็นการฟื้นฟูสมรรถนะของร่างกายในระยะเวลาสั้นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก













































No comments:
Post a Comment